วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อณาเขตศรีวิชัย
มีอาณาเขตครอบคลุมมลายู เกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา และบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย พื้นที่อาณาจักรแบ่งได้สามส่วน คือส่วนคาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา และหมู่เกาะชวา โดยส่วนของชวาได้แยกตัวออกไปตั้งเป็นอาณาจักรมัชปาหิต ต่อมาเมื่ออาณาจักรศรีวิชัยอ่อนแอลง อาณาจักรมัชปาหิตได้ยกทัพเข้ามาตีศรีวิชัย ได้ดินแดนสุมาตราและบางส่วนของคาบสมุทรมลายูไป และทำให้ศรีวิชัยล่มสลายไปในที่สุด ส่วนพื้นที่คาบสมุทรที่เหลือ ต่อมาเชื้อพระวงศ์จากอาณาจักรเพชรบุรี ได้เสด็จมาฟื้นฟูและตั้งเป็นอาณาจักรนครศรีธรรมราช

ลักษณะของศรีวิชัย

พระพุทธรูป
ประติมากรรมในศิลปะแบบศรีวิชัยได้แก่ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสลักด้วยศิลาและค้นพบที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (รูปที่ ๑) ซึ่งเป็นประติมากรรมที่น่าจะเก่าที่สุด และยังมีอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะปะปนอยู่มาก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรอีก ๒ องค์ ซึ่งหล่อด้วยสัมฤทธิ์และค้นพบที่อำเภอไชยาเช่นเดียวกัน อยู่ในสมัยต่อมา และดูจะมีอิทธิพลของศิลปะแบบหลังคุปตะและปาละ-เสนะเข้ามาปะปนแล้ว องค์แรกที่เหลือเพียงครึ่งองค์ (รูปที่ ๒) ถือกันว่าเป็นโบราณวัตถุที่งามที่สุดชิ้นหนึ่งในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แม้พระธยานิพุทธอมิตาภะปางสมาธิองค์เล็กบนศิราภรณ์ของพระโพธิสัตว์องค์นี้จะหักหายไป แต่การที่รูปนี้ครองหนังกวางก็อาจหมายความได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในศิลปะศรีวิชัยแปลกกว่าที่อื่นที่มักมีหนังเสือคาดอยู่รอบพระโสณี (ตะโพก) ซึ่งในประเทศอินเดียไม่เคยปรากฏตั้งแต่แรก ลักษณะดังกล่าวบนเกาะสุมาตราและชวาก็มีบ้าง
     



โบราณวัตถุแบบศรีวิชัยบางชิ้นก็พบในที่ไกลมาก เป็นต้นว่าประติมากรรมที่เชื่อกันว่าเป็นรูปพระเมตไตรยโพธิสัตว์ตามลัทธิมหายาน แต่ปัจจุบันก็มีผู้เสนอว่าอาจเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งแสดงปางประทานปฐมเทศนา (รูปที่ ๓) พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ที่จังหวัดมหาสารคาม คงมีผู้นำเอาขึ้นไป พระพุทธรูปนาคปรกซึ่งค้นพบที่วัดเวียง อำเภอไชยา (รูปที่ ๔) เป็นของแปลกประหลาด เพราะพระพุทธรูปไม่หล่อเป็นปางสมาธิ แต่ทำเป็นปางมารวิชัย ซึ่งมีน้อยมาก เหตุนั้นจึงมีนักปราชญ์บางท่านสันนิษฐานว่าพระพุทธรูปและนาคนั้น อาจไม่ได้หล่อขึ้นพร้อมกัน เพราะเหตุว่ารูปนี้อาจถอดออกได้เป็น ๓ ชิ้นคือเศียรนาคชิ้นหนึ่ง พระพุทธรูปชิ้นหนึ่ง และขนดนาคอีกชิ้นหนึ่ง แต่ก็อาจจะเชื่อได้ยากอยู่เพราะวางเข้ากันได้พอดี ที่ฐานนาคมีจารึกว่าหล่อขึ้นใน พ.ศ. ๑๗๒๖ อันอาจนับได้ว่าเป็นตอนปลายของศิลปะศรีวิชัย พระพุทธรูปนาคปรกดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีอิทธิพลของศิลปะขอมหรือลพบุรีเข้ามาปะปนแล้ว ดังอาจเห็นได้จากลักษณะเศียรนาค พระพักตร์สี่เหลี่ยมของพระพุทธรูปและท่านั่งขัดสมาธิราบ รวมทั้งภาษาขอมที่ใช้ในจารึก ในขณะเดียวกัน ลักษณะของศิลปะศรีวิชัยตอนปลายก็มีปรากฏอยู่ด้วย คือพระเกตุมาลาหรือเมาลีเรียบ ไม่มีขมวดพระเกศา มีรัศมีรูปใบโพธิ์ติดอยู่ทางด้านหน้า และชายจีวรเป็นริ้วซ้อนกันเหนือพระอังสาซ้าย ลักษณะหลังนี้ได้คงอยู่นานที่อำเภอไชยาทางภาคใต้ของประเทศไทยจนกระทั่งถึงสมัยอยุธยา
ที่จังหวัดสงขลา ก็ได้ค้นพบประติมากรรมสัมฤทธิ์สมัยศรีวิชัยหลายชิ้นเช่นเดียวกัน ที่เป็นเทวรูปก็มี เช่น รูปพระอิศวร และรูปท้าวกุเวร (รูปที่ ๕) แต่รูปท้าวกุเวรองค์นี้คงสร้างขึ้นในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน คือเป็นรูปชัมภละ เพราะเหตุว่ามีจารึกคาถาภาษาสันสกฤต “เย ธรฺมฺมา” สลักอยู่บนด้านหลัง นอกจากนี้ก็มีภาชนะดินเผาด้วยที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็ได้ค้นพบประติมากรรมสัมฤทธิ์สมัยศรีวิชัยเช่นเดียวกัน
พระพิมพ์ที่พบส่วนมากทำด้วยดินดิบ เป็นของที่แตกหักง่าย คงจะไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาดังพระพิมพ์ดินเผาหรือโลหะ สันนิษฐานว่าคงทำตามประเพณีทางลัทธิมหายาน เมื่อเผาศพพระสงฆ์เถระที่มรณภาพหรือบุคคลที่ตายแล้วเอาอัฐิธาตุโขลกเคล้ากับดิน แล้วพิมพ์พระพุทธรูป หรือรูปพระโพธิสัตว์ (รูปที่ ๖) ไว้เป็นพระพิมพ์ดินดิบ เพื่อประสงค์ปรมัตถประโยชน์ของผู้มรณภาพเป็นที่ตั้ง อัฐินั้นได้เผาครั้งหนึ่งแล้ว จึงไม่เผาอีก
สำหรับสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยนั้นเหลืออยู่น้อยมากเช่นที่ เจดีย์พระบรมธาตุไชยยา วัดมหาธาตุ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่อำเภอไชยาคงเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่สำคัญในสมัยศรีวิชัย เพราะเหตุว่าบรรดาโบราณวัตถุที่กล่าวมาข้างต้นส่วนมากก็ค้นพบที่ไชยาทั้งสิ้น จนถึงมีบางท่านกล่าวว่าเมืองไชยาอาจเป็นราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัยก็ได้(จริงๆแล้วพบหลักฐานงานโบราณวัตถุสถานแบบศรีวิชัยในอินโดนีเซียมากกว่า)




ประเพณีของศรีวิชัย










การแต่งกาย
การแต่งกายของชาวศรีวิชัย ซึ่งอาศัยอยู่ในแหลมมาลายู เกาะสุมาตตราและชวา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-17 ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายคลึงกับอินเดีย กรมศิลปกร ได้จัดเครื่องเเต่งกายเลียนเเบบประติมากรรม ที่พบในสมัยนี้สมมติ เป็นชาวศรีวิชัยฐานะ ต่างๆ ถือดอกไม้ ธูป เทียน เดินทักษิณาวัฏรอบองค์พระบรมธาตุไชยา อันเป็นปูชนียสถาน ที่สำคัญ ในสมัยนั้น


การแต่งกายของสตรี นิยมเกล้าผมยาวทำเป็นรูปพุ่มทรงข้าวบิณฑ์สามกลีบ แล้วเกล้าผมสูงเป็นลำขึ้นไป รวบผมด้วยรัดเกล้า ปล่อยชายปรกลงมาด้านหน้า บางทีทำทรงผมมุ่นมวยเป็นทรงกลมเหนือศรีษะ แต่ใช้รัดเกล้า รัดเป็นชั้นๆ แล้วปล่อยชายผม ให้ประบ่าทั้งสองข้าง ผู้หญิงสมัยนี้ชอบตกแต่งด้วยต่างหูแผ่นกลม จำหลักเป็น กลีบดอกไม้ขนาดใหญ่บ้างทำเป็นลายเชิงกรวยหรือก้านต่อ ดอกบ้าง ตบแต่งลำคอด้วย กรองคอเส้นเกลี้ยง มีทับทรวงประบ่า ลำแขน ประดับด้วยทองกร หรือพาหุรัดทำด้วยโลหะลูกปัด ร้อยเป็นพวงอุบะ นุ่งผ้าครึ่งแข้ง มีปลายบาน ยกขอบก็มี ที่นุ่งผ้าผืนยาวบางแนบเนื้อ คล้ายของผู้ชายก็มี ขอบผ้าชั้นบนทำเป็นวงโค้ง เห็นส่วน ท้องบางทีมีเข็มขัดผ้า ปล่อยชายลงไปทางด้านขวา นิยมใส่กำไรมือและเท้า

ก่อตั้งโดยราชวงศ์ไศเลนทร์ 

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นักโบราณคดีหลายท่านมีความเห็นสอดคล้องกับศาสตราจารย์ยอร์จ  เซเดย์  เนื่องจากได้พบศิลาจารึก 8 หลัก
บนเกาะสุมาตรา  มีอยู่ 2 หลัก กำหนดอายุในช่วงเดียวกับการเดินทางมาถึงของภิกษุอี้จิง  อย่างไรก็ตามนักวิชาการ เช่น ราเมชจันทร์  มาชุมดาร์ ควอริทช์-เวลส์  และหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ  รัชนี  มีความเห็นว่า ศูนย์กลางของศรีวิชัยควรจะอยู่บนคาบสมุทรมาเลย์  โดยเฉพาะหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ  รัชนี  มีความเห็นว่าจารึกที่กล่าวถึงอาณาจักรศรีวิชัยที่พบที่ไชยา สุราษฎร์ธานี นั้น เป็นจารึกภาษาสันสกฤต ซึ่งตรงกับบันทึกของภิกษุอี้จิง  ในขณะที่จารึกที่พบบนเกาะสุมาตราเป็นภาษามลายูโบราณ และเมื่อพิจารณาถึงการเดินเรือเพียง 20 วัน ของภิกษุอี้จิง ควรถึงเมืองไชยา สุราษฎร์ธานี และคงไม่ผ่านเส้นศูนย์สูตรไปถึงเกาะสุมาตรารวมทั้งทางภาคใต้ของประเทศไทยก็ได้พบโบราณวัตถุ โบราณสถาน ซึ่งมีลักษณะที่เรียกว่า ศิลปกรรมแบบศรีวิชัย กำหนดอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-18
ลักษณะศิลปแบบศรีวิชัยส่วนมากเป็นศิลปที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน  จึงมักพบพระรูปพระโพธิสัตว์  เช่น  พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  พระศรีอายิยเมตไตรยโพธิสัตว์  พระโพธิสัตว์ไวโรจนะ  และศิลปวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ในลัทธิไวษณพนิกาย  นอกจากนั้นยังพบร่องรอยของสถาปัตยกรรมตลอดจนโบราณสถานทั้งในปาเล็มบัง  เกาะสุมาตรา  และคาบสมุทรมาเลย์ทางภาคใต้ของประเทศไทย


จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบโดยกว้างจากปาเล็มบัง  เกาะสุมาตรา  อินโดนีเซีย  มาจนถึงคาบสมุทรมาเลย์  และทางภาคใต้ของประเทศไทย ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับศรีวิชัยคือ ศรีวิชัย ไม่ใช่ชื่ออาณาจักรที่มีศูนย์กลางของอำนาจในทางการเมืองและควบคุมเศรษฐกิจอยู่เมืองใดเมืองหนึงเพียงแห่งเดียว  แต่ศรีวิชัยเป็นชื่อกว้างๆ ทางศิลปะ และวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าทางทะเลแถบคาบสมุทร  กลุ่มบ้านเมืองหรือแว่นแคว้นต่างๆ เหล่านี้มีวัฒนธรรมร่วมกันคือ การนับถือพุทธศาสนา
มหายานและมีรูปแบบศิลปกรรมแบบศรีวิชัยเช่นเดียวกัน  แว่นแค้วนและบ้านเมืองทั้งบนผืนแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะเกี่ยวข้องกันในลักษณะของสหพันธรัฐที่มีศูนย์กลางอำนาจเปลี่ยนแปลงไปตามความผันแปรทางเศรษฐกิจ
    ความสำคัญของศรีวิชัยที่ปรากฏจากจดหมายเหตุของจีนสมัยราชวงศ์ถังคือ เป็นศูนย์กลางการค้าขายสินค้าข้ามสมุทรทางฝั่งทะเลตะวันตกและตะวันออก  ผ่านช่องแคบมะละกา  ดังนั้นจึงได้พบ ลูกปัดจากดินแดนทางตะวันตกและเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง  ซึ่งพบเรื่อยลงมาทั้งที่เกาะสุมาตราและทางภาคใต้ของประเทศไทย  แต่ในที่สุดความรุ่งเรืองทางการค้าของศรีวิชัยก็ลดลงเมื่อจีนได้พัฒนาเรือที่ค้าขายและทำการค้าขายโดยตรงกับบ้านเมืองที่อยู่ชายฝั่งทะเลตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16  และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ทำให้เมืองทางแถบคาบสมุทรทางภาคใต้ของประเทศไทยรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ศูนย์กลางของศรีวิชัยอยุ่ที่เมืองใด เป็นปัญหาที่ยังไม่ยุติ  อาจมีหลายเมืองสืบต่อกันและเมืองหลวงแห่งแรกคือ ปาเลมบัง  เมืองปาเลมบังตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของเกาะสุมาตรา มีแม่น้ำมูสีไหลผ่านตัวเมืองเข้าไปจนถึงแผ่นดินภายในเกาะ  สภาพเช่นนี้ ทำให้ปาเลมบังเป็นเมืองท่าที่เหมาะสม  สำหรับการขนถ่ายสินค้าจากภายในแผ่นดินออกสู่ทะเล  ดังนั้นศรีวิชัยจึงสามารถครอบครองช่องแคบมะละกา  ตลอดจนรัฐในคาบสมุทรมลายูทั้งหมด  รวมทั้งลังกาสุคะที่ร่วมสมัยกัน
       โอ ดับเบิลยู โวลเตอร์   ชาวอเมริกันผู้เชียวชาญประวัติศาสตร์โบราณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นผู้เสนอว่า  เมืองปาเลมบังเป็นศูนย์กลางของศรีวิชัย เพราะจากการศึกษาทางโบราณคดีพบเมืองโบราณ มีคูน้ำล้อมพระราชวัง  มีร่องรอยการค้าต่างประเทศคือ  ถ้วยชามกระเบื้องสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้องตอนต้นของจีน บริเวณภูเขาบูกิตซีกุนตัง   และมีจารึกของชาวอินโดนีเซียตั้งแต่ พ.ศ.1225  ที่จารึกไว้ว่ามีแคว้นศรีวิชัยตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านกะรังอันยาร์  ซึ่งอยู่ทางฝ่างด้านเหนือของแม่น้ำมูกับเมืองปาเลมบัง  และในจดหมายเหตุของมาเลย์ก็บันทึกไว้ว่าหมู่บ้านกะรังอันยาร์เป็นถิ่นกำเนิดของผู่ก่อตั้งรัฐมะละกา
     เคยมีการตีความกันว่าเมืองนครศรีธรรมราช  อาจเป็นเมืองหลวงของศรีธรรมราช  อาจเป็นเมืองหลวงของศรีวิชัย  เพราะใน พ.ศ. 1318 มีการฝังเสาหินจารึกยอพระเกียรติของศรีวิชัย ที่เมืองนครศรีธรรมราช  แต่นักประวัติศาสตร์คนไทยได้คัดค้าน อ้างว่า ศิลาจารึกตันจอ  และบันทึกของชาวจูเกาะ  ซึ่งตีความได้ว่านครศรีธรรมราชเป็นเพียงเมืองขึ้นของศรีวิชัย  และนครศรีธรรมราชคือแคว้นตามพรลิงค์  และยังได้คัดค้านประเด็นที่ว่าเมืองหลวงของศรีวิชัย  อยู่ที่เมืองปาเลมบัง  โดยได้อ้างบันทึกของ
พระภิกษุจีนชื่อ อิจิง  ที่บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. 1214 - 1238  โดยเดินทางมากับเรือพ่อค้าชาวเปอร์เซียจากกวางตุ้งได้  20  วัน  ก็มาถึงเมือง โฟซิ  ถึงเมืองไชยา  แล้วพักอยู่   เดือน  เพื่อเรียนภาษาสันสกฤตแล้วเดินทางต่อไปจนถึงเมืองโบราณชื่อเมือง โมโลยู  หรือมาลายู อยู่เกาะกลางสุมาตรา พักอยู่   เดือน  เพื่อรอลมเปลี่ยนทิศทาง  แล้วแล่นเรือกลับผ่านช่องแคบมะละกา  15  วัน  ก็ถึงเมืองเกียขะ หรือเคดาร์ (ไทรบุรี)  จากนั้นก็ข้ามมหาสมุทรไปอินเดีย  จากบันทึกนี้แสดงว่าพระภิกษุอิจิงไม่เคยลงไปถึงเมืองปาเลมบัง  แต่พักอยู่ที่เมืองไชยาซึ่งเป็นเมืองสำคัญและยังมีร่องรอยทางโบราณคดี  โบราณสถานอีกมากมายที่แสดงถึงวัฒนธรรมของศรีวิชัย จนทำให้เชื่อว่าเมืองไชยาคือเมืองหลวงของศรีวิชัย
  ศูนย์กลางของศรีวิชัยจึงเป็นปัญหาที่ยังไม่ยุติ  แต่กระนั้นบริเวณคาบสมุทรมลายูก็เป็นส่วนหนึ่งของศรีวิชัยและเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่มีชื่อเสียงมาก  มีความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม  ประชาชนนับถือศาสนาพุทธมหายานและศาสนาพราหมณ์  ร่องรอยที่เหลือไว้คือโบราณสถานและโบราณวัตถุ  ทางด้านสถาปัตยกรรมสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงคือ พระบรมธาตุไชยา เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมทรงมณฑปและเจดีย์ศรีวิชัยที่วัดแก้ว ในอำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี  นอกจากนั้นยังมีที่จังหวัดพัทลุง สงขลา  นครศรีธรรมราช  และพังงา  เป็นต้น  ส่วนตอนบนของประเทศไทยมีร่องรอยแสดงว่าอิทธิพล
ของศรีวิชัยได้แพร่ขึ้นไปอาจเป็นเพราะเมื่อครั้งสมัยสุโขทัยตอนต้นๆ  ได้รับเอาพุทธศาสนาและศิลปกรรมไปจากเมืองนครศรีธรรมราช  ทำให้มีสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย  ที่จังหวัดสวรรคโลก  คือ มณฑปวัดเจดีย์เจ็ดแถว  และเจดีย์ในวัดมหาธาตุ  จังหวัดสุโขทัย  รวมทั้งเจดีย์องค์เล็กในวัดพระธาตุ      หริภุญชัย เป็นต้น
ทางด้านประติมากรรมมีพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  พบที่วัดมหาธาตุ  อำเภอไชยา มีพระพิมพ์ดินดิบปางต่างๆ พระพิมพ์ติดแผ่นเงินแผ่นทองทางด้านศาสนาพราหมณ์ได้แก่ เทวรูปพระมาลาแขก   เทวรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นต้น
            เครื่องมือเครื่องใช้มีเครื่องปั้นดินเผาทำเป็นภาชนะหม้อไห  ใช้สีเขียนลวดลายและทำเป็นแบบลูกจันทร์นูนขึ้นมาประดับลวดลายอื่นๆ  มีลูกปัดทำเป็นเครื่องประดับ มีเงินกลมใช้เรียกว่า นะโม และเงินเหรียญชนิดหนาใช้แลกเปลี่ยนด้วย  มีตราดอกจันทร์อยู่ด้านหนึ่งอีกด้านหนึ่งมีตัวอักษรสันสกฤตเขียนไว้ว่า วร ประดับอยู่
 ราชวงศ์ที่ปกครองศรีวิชัยคือราชวงศ์ไศเลนทร์  ปกครองตลอดทั่วไปในแหลมมลายูลงไปถึงเกาะต่างๆ ศรีวิชัยมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพราะสามารถควบคุมช่องแคบมะละกาได้  เรือที่ผ่านไปมาต้องแวะพักจอดเรือตามเมืองท่าต่างๆ ของแค้วนศรีวิชัย
                                ศรีวิชัยมีความสัมพันธ์กับประเทศจีนเป็นอย่างดี  มีการส่งคณะทูตไปเจริญสัมพนธ์ไมตรีกับจีนเป็นระยะๆ  ประมาณ  12  ครั้ง  และใน พ.ศ. 1536 เคยขอความช่วยเหลือจากจีนให้ช่วยปราบกองทัพของชวาที่ยกมารุกราน  และใน พ.ศ. 1550 ศรีวิชัยได้ทำสงครามกับแคว้นมะทะรัม ซึ่งอยู่ในชวากลาง  และได้รับชัยชนะจึงมีอำนาจเหนือมะทะรัม
                               กลางพุทธศตวรรษที่ 16  ทำสงครามกับพวกโจละ (Chola อยู่ทางตะวันออกของอินเดีย)  เพราะโจละ จะเข้าแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้าแถบแหลมมลายูไปจากศรีวิชัย  การรบดำเนินมาหลายปี ที่สำคัญเกิดขึ้นใน พ.ศ. 1568  แถบเมืองตักโกละ (ตะกั่วป่า หรือ ตรัง) เคดาห์ ตูมาสิก (สิงคโปร์)  ลังกาสุคะ นครศรีธรรมราช  ไชยา แม้จะยึดครองศรีวิชัยไม่ได้แต่สงครามครั้งนี้มีผลให้บรรดาเมืองต่างๆ ที่เคยขึ้นต่อแคว้นศรีวิชัยกระด้างกระเดื่องจนถึงขั้นยกทัพมาชิงดินแดนบางแห่ง เช่น พระเจ้าไอร์ลังคะ แห่งแคว้นเคดีรีในชวาตะวันออก ผลจากการทำสงครามกับโจละ ทำให้ศูนย์กลางจากศรีวิชัยย้ายจากเมืองไชยาไปอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช  ต่อมาอำนาจทางการปกครองของศรีวิชัย เปลี่ยนจากราชวงศ์ไศเลนทร์ไปเป็นราชวงศ์ปทุมวงศ์  กษัตริย์ของศรีวิชัยราชวงศ์ใหม่พยายามรักษาอิทธิพลบนแหลมมลายูไว้ รวมทั้งช่องแคบและหมู่เกาะ
                                ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18  19  ศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลงมาก เพราะเกิดจลาจลในคาบสมุทรมลายู และมีแคว้นคู่แข่งเกิดขึ้น 2         แห่งคือ ในชวาตะวันออกมีแคว้น เคดีรี  ส่วนทางเหนือมีอาณาจักรสุโขทัย  ซึ่งราชวงศ์มองโกล (พ.ศ. 1803  1911)  ของจีนให้การสนับสนุนเคดีรีเขายึดครองบางส่วนของศรีวิชัย คือดินแดนบางส่วนในอินโดนีเซียปัจจุบันไว้  ต่อมาได้สูญเสียคาบสมุทรมลายูให้กับอาณาจักรสุโขทัยที่ยึดนครศรีธรรมราชได้  แล้วสุโขทัยได้แผ่ขยายอำนาจลงมาเรื่อยๆ  ศรีวิชัยจึงสลายลงโดยปรากฏจากหลักฐานของมาร์โคโปโล นักสำรวจชาวเวนิส ใน พ.ศ. 1835  ที่แวะเยือนสุมาตราระหว่างเดินทางกลับจากจีน หลังจากที่อยู่ที่จีนได้  17  ปี  มาร์โคโปโลไม่ได้บันทึกเรื่องราวของศรีวิชัยเลย  กล่าวแต่ว่ามี

ศิลปะสมัยศรีวิชัย

จากความเชื่อที่ว่ามีอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรีองขึ้นใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระหว่างราวพุทธศตวรรษที่ 13-18 อาจจะมีราชธานีตั้งอยู่ใกล้กันกับเมืองปาเล็มบังในเกาะสุมาตราในปัจจุบัน นี้  บางครั้งอาณาจักรนี้อาจจะได้ครอบครองแหลมมลายูและดินแดนบางส่วนในภาคใต้ของ ประเทศไทยด้วย นักปราชญ์ทางโบราณคดีเรียกชื่ออาณาจักรนี้ว่า "ศรีวิชัย" ตามจารึกที่ค้นพบที่กล่าวมา ได้ส่งผลให้มีการเรียกชื่อศิลปกรรมที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทยในช่วง ระยะเวลานั้นว่า "ศิลปะแบบศรีวิชัย"  ศิลปกรรมสกุลช่างนี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และมีรูปแบบที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจากศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ หลังคุปตะ ปาละ-เสนะ และศิลปะชวาภาคกลาง ซึ่งมีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 12 หรือ 13-14 ขณะเดียวกัน ก็ยังได้พบงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะจามและเขมรโบราณ รวมทั้งงานประติมากรรมและศิลาจารึกภาษาทมิฬ ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนโบราณในภาคใต้ของไทยกับ ชุมชนโบราณในประเทศอินเดียตอนใต้ด้วย

สถาปัตยกรรม     
ในปัจจุบันนี้ได้มีการค้นพบสถาปัตยกรรมที่เนื่องในพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน ที่ได้มีการสร้างสรรค์ขึ้นบนคาบสมุทรไทยสองประเภท คือ ประเภทแรก ได้แก่ สถูป (Stupa, or Tupa) และประเภทที่สอง ได้แก่ เจติยสถาน (Chaitya Hall)

สถูป


สถูปในศิลปะแบบศรีวิชัยนั้น ถึงแม้ว่าจะปรากฏขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วทั้งคาบสมุทรไทยก็ตาม แต่ที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม สถูปในศิลปะแบบนี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบปาละที่เจริญรุ่งเรือง ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเแยงเหนือของประเทศอินเดีย  เป็นสถูปที่มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม  เหนือส่วนฐานขึ้นไปเป็นรูปจำลองของอาคารทรงมณฑปรูปสี่เหลี่ยม มีซุ้มทั้งสี่ด้าน เหนือส่วนอาคารขึ้นไปเป็นส่วนยอดของสถูป ซึ่งทำเป็นสถูปรูปทรงกลมที่มียอดแหลมขึ้นไป จากสถูปที่มีการค้นพบในขณะนี้ สามารถที่จะจัดแบ่งออกได้เป็นสองรูปแบบ โดยสถูปรูปแบบแรกมีการ
สร้างสรรค์ขึ้นในระหว่างราวพุทธศตวรรษที่ 14-15 เป็นสถูปที่ได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบปาละของอินเดีย ส่วนสถูปในรูปแบบที่สองมีการสร้างสรรค์ขึ้นในระหว่างราวพุทธศตวรรษที่ 16-19 เป็นสถูปที่ได้วิวัฒนาการออกไปจากสถูปในรูปแบบแรกไปสู่รูปแบบทางศิลปะที่ เป็นของท้องถิ่น
สถูปรูปแบบแรก เป็นสถูปที่มีแผนผังเป็นรูปกากบาท ตั้งอยู่บนส่วนฐานที่อาจจะมีเพียงชั้นเดียวหรือซ้อนกันหลายชั้น เหนือส่วนฐานขึ้นไปเป็นส่วนองค์ของสถูปเป็นรูปมณฑปและมีซุ้มทั้งสี่ด้าน เหนือส่วนองค์ของสถูปนี้ขึ้นไปเป็นส่วนยอด ซึ่งทำเป็นสถูปทรงกลม สถูปที่สำคัญในรูปแบบนี้ยังคงปรากฏอยู่หลายแห่ง อาทิ

1)สถูปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นสถูปที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ตรงบริเวณประตูทางเข้าของระเบียงของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นสถูปที่มีส่วนฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม ฐานส่วนใหญ่ฝังอยู่ในพื้นดิน เหนือขึ้นมาเป็นส่วนมณฑปของสถูป มีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน เหนือมุขขึ้นไปมีสถูปทรงกลมขนาดเล็กประดับอยู่มุขละองค์ ส่วนตรงกลางเป็นส่วนยอดที่สูงขึ้นไปเป็นสถูปทรงลังกาที่มีฐานเป็นรูปบัวหงาย สถูปองค์นี้มีรูปแบบทางศิลปะคล้ายคลึงกันกับจันทิกาละสัน (Kalasan) ในชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย ที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 14 และสถูปมิเซิน เอ 1 (Mi Son AI) ที่ดงเดือง ประเทศ   เวียดนาม ที่สร้างขึ้นเมื่อราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15 จึงสันนิษฐานว่าสถูปในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารองค์นี้ได้รับการสร้างสรรค์ ขึ้นในระหว่างราวพุทธศตวรรษที่14-15

2) สถูปวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นสถูปที่มักจะเรียกกันโดยทั่วไปว่า " พระบรมธาตุไชยา" ในชั้นเดิมอาจจะมีการสร้างขึ้นในระยะเวลาเดียวกันกับสถูปในวัดแก้ว (หรือวัดรัตนาราม) ที่ตั้งอยู่ใกล้กันกับเมืองโบราณไชยา แต่ระยะหลังอาจจะมีการบูรณะหลายครั้ง จนรูปแบบได้เปลี่ยนแปลงไปมากก็เป็นได้ โดยทั่วไปรูปทรงของสถูปองค์นี้มีลักษณะใกล้เคียงกันกับสถาปัตยกรรมบางหลัง ที่ชวาภาคกลางที่มีรูปสลักไว้บนระเบียงที่สร้างขึ้นโดยรอบสถูปบุโรพุทโธ (Borobudur) ในชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย แต่จากการที่พระบรมธาตุไชยาได้รับการซ่อมแซมอย่างมากมาย ทำให้มีรายละเอียดเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถจะนำไปเปรียบเทียบกันได้กับ สถาปัตยกรรมที่ชวาภาคกลางและสถาปัตยกรรมของจามในประเทศเวียดนาม แต่อย่างไรก็ดี โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถานแห่งนี้มีรูปแบบอย่างเดียวกันกับศาสนา สถานของจาม จากรายงานในปี พ.ศ. 2439 ได้กล่าวว่าฐานเดิมของโบราณสถานแห่งนี้อยู่ลึกลงไปจากระดับผิวดิน 1.00 เมตร รวมทั้งจากปีดังกล่าวจนถึงปี พ.ศ. 2444 ได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ ในรายงานการซ่อมแซมของปี พ.ศ. 2439 ได้กล่าวว่า ได้ค้นพบหลักฐานของการซ่อมแซมโบราณสถานแห่งนี้หลายครั้งในอดีต


ประวัติอาณาจักร ศรีวิชัย
ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้ระบุว่า ศรีวิชัยน่าจะสถาปนาในช่วงเวลาก่อนปีพ.ศ. 1225 เล็กน้อย ขณะที่ เสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ เลขานุการคณะอนุกรรมการตรวจสอบหลักฐานอาณาจักรศรีโพธิ์ วุฒิสภา ระบุว่า อาณาจักรศรีโพธิ์ (ศรีวิชัย) สถาปนาขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 1202 โดยใช้หลักการทางดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ตรวจหาวันที่จากเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ ที่อ้างอิงถึงในตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับการสถาปนาอาณาจักรที่ว่า
หลังเสร็จสิ้นสงครามแย่งช้าง ต่อมาได้เกิดสุริยคราสแหวนเพชร ขึ้นในท้องที่ดังกล่าว หลังจากนั้นอีก 7 วัน มหาราชทั้งสอง ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกที่เขาสุวรรณบรรพต แล้วขึ้นครองราชสมบัติ สถาปนาอาณาจักรศรีโพธิ์
ส่วนที่ตั้งเมืองหลวง มีการถกเถียงกันจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่มีสองแนวคิดที่เชื่อถือกันอยู่คือ คู่เมืองไชยา-สุราษฎร์ธานี และที่เมืองปาเล็มบัง (สุมาตรา) ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานเป็นจารึกชัดเจนว่า ปีพ.ศ. 1369 พระเจ้าศรีพลบุตร (ครองชวากลาง) พระนัดดาในพระเจ้าศรีสงครามธนัญชัย (ครองทั้งศรีวิชัยและชวากลาง) ยกทัพจากชวากลางมาตีศรีวิชัย จากพระใหญ่ (พระนัดดาอีกสายของพระเจ้าศรีสงครามฯ ที่ครองศรีวิชัย) แล้วชิงได้ราชสมบัติไป แนวความคิดเรื่องชวากลาง (สถานที่ประดิษฐานเจดีย์บุโรพุทโธ) เป็นเมืองหลวงจึงตกไป
มีการพบศิลาจารึกภาษมลายูโบราณเกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยนี้ ทั้งที่สุมาตรา และที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และพบศิลาจารึกภาษาสันสกฤต เมืองไชยาระบุว่าศรีวิชัยเป็นเมืองท่าค้าพริก ดีปลีและพริกไทยเม็ด โดยมีต้นหมากและต้นมะพร้าวจำนวนมาก
หลวงจีนอี้จิง เคยเดินทางจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนโดยเรือของพวกอาหรับ ผ่านฟูนันมาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยในเดือน 11 พ.ศ. 1214 เป็นเวลา 2 เดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่า ตามพรลิงก์ที่อินเดีย เพื่อสิบทอดพระพุทธศาสนา หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่า พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย ประชาชนทางแหลมมลายูเดิมส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ก็ได้ติดต่อกับพ่อค้าอาหรับมุสลิม ที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ดังนั้นในเวลาต่อมาศาสนาอิสลามจึงได้เผยแพร่ไปยังมะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหงะ และ ปัตตานี จนกลายเป็นรัฐอิสลามไป ต่อมาใน พ.ศ. 1568 อาณาจักรศรีวิชัยได้ตกอยู่ใต้อำนาจและกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมัชปาหิตของชวาใน พ.ศ. 1940 แต่มีหลักฐานจากตำนานเมืองเพชรบุรีว่า อาณาจักรศรีวิชัยได้ล่มสลายไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะตำนานฯระบุว่า ก่อนพระพนมวังจะได้สถาปนาอาณาจักรนครศรีธรรมราชในปีพ.ศ. 1830 นครศรีธรรมราชมีสภาพเป็นเมืองร้างมาก่อน