วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมัยศรีวิชัย

อาณาจักรศรีวิชัย


อาณาจักรศรีวิชัย  นี้เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ คือบริเวณที่เป็นแหลมมลายู  เดินนั้น ศาสดาจารย์ยอรซ์  เซเดส์  ได้อ่านศิลาจารึกวัดเสมา  เมืองนครศรีธรรมราช  พบคำว่าศรีวิชัย  จึงมีความเห็นว่า  ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยนั้นอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง  เกาะสุมาตรา  ประเทศอินเดีย เจริญขึ้นในพุทธศตวรรษที่  ๑๓-๑๔

อาณาจักรแห่งนี้  จีนเรียกว่า  ชิลิโพชิ  หรือโฟชิ  หรือคันโทลี  หรือ  โคยิง  แต่  อาร์  วี  มาจุมดาร์  นักประวัติศาสตร์นักโบราณคดีอินเดีย  มีความเห็นว่าศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัยนี้ขึ้นอยู่บนเกาะชวา  แล้วต่อมาได้ย้ายมานครศรีธรรมราช  และควดริทซ์  เวลส์  นักประวัติศาสตร์อังกฤษว่าอาณาจักรศรีวิชัยนั้นตั้งอยู่ที่เมืองไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี    ตรงกับความเห็นของ  หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ  รัชนี  ส่วนซึกโมโน  นักโบราณคดี  อินโดนีเซียว่า  อาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่เมืองจัมบี หรือซัมพิ ในเกาะสุมาตรา

ด้วยเหตุนี้อาณาจักรศรีวัย  จึงปกครองในลักษณะสหพันธรัฐ  จึงมีศูนย์กลางสำคัญของอาณาจักรอยู่หลายแห่งดังกล่าว  ดังนั้นเมืองสำคัญของศรีวิชัยจึงมีอยู่ทั้งบนแหลมมลายู และเกาะสุมาตรา  เช่น  เมืองไชยา  เมืองนครศรีธรรมราช  เมืองปาเล็มบัง  และเมืองจัมบี  เป็นต้น  ดังนั้นการเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างเมืองในอาณาจักรแห่งนี้  จึงมีเส้นทางการเดินเรือไปตามเมืองท่าสำคัญและทำให้การติดต่อกับพ่อค้าอินเดียในสมัยอินดียโรมันด้วย  พบแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในภาคใต้ ด้านฝั่งทะเลตะวันออก  จังหวัดชุมพร  พบแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  พบแหล่งโบราณคดีวัดอัมพาวาสที่อำเภอท่าชนะ  แหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ที่อำเภอไชยา

สำหรับด้านฝั่งทะเลตะวันตก  จังหวัดพังงา  พบแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก  คาบสมุทรมลายู พบแหล่งโบราณคดีเปงกาลัน  บุจังที่รัฐเคดะห์  แหล่งโบราณคดีที่กัวลาเซลิงซิง และบูกิต  แหล่งโบราณคดีเตงกูเลมบู  พบโบราณวัตถุที่เป็นวัฒนธรรมของอินเดีย  แบบฝังสี  เหรียญอินเดียโบราณ เป็นต้น

ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปคาบมหาสมุทรมลายูนั้น  ได้พบกลองมโหระทึกในวัฒนธรรมดองซอนอยู่แพร่กระจายตามแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ  นับว่าเป็นชุมชนการค้าหรือแหล่งค้าขายของชาวอินเดีย  ซึ่งศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาเป็นหลัก  จนชุมชนเหล่านั้นได้รับเอศาสนานั้นเข้าไปทำให้ชุมชนร่มเย็นเป็นสุขในที่สุด

ต่อมาเมืออาณาจักรฟูนันล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่  ๑๑  นั้น  ดินแดนทางแหลมมาลายู หรือแหลมทองนั้นมีการตั้งอาณาจักรศรีวิชัย  สามารถควบคุมเส้นทางการค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียรวมทั้งอาหรับ  เปอร์เซียและยุโรปได้

อาณาศรีวิชัยนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองปาเล็มบังในเกาะสุมาตราของ  อินโดนีเซียขึ้นขึ้นมาถึงบริเวณแหลมโพธิ์  ตำบลพุมเรียง  อำเภอไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  และเมืองท่า  (ตามพรลิงค์หรือตำพะลิงค์)  จังหวัดนครศรีธรรมราช

การพบศิลาจารึกภาษามาเลย์เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยที่วัดเสมาเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นมีคำว่าศรีวิชัยส่วนเมืองครหในสมัยศรีวิชัยนั้นเป็นเมืองท่าค้าพริกดีปลีและพริกไทยเม็ดโดยมีต้นหมากต้นมะพร้าวอยู่มากแต่ยังมีความเชื่ออยู่ว่าเมืองครหิไม่น่าใช่เมืองไชยากล่าวคือเมืองไชยาเป็นสถานที่แห่งเดียวที่สุมาตรา  ทีสั่งซื้อมาให้อำมาตย์คลาในผู้ป่วยเมืองครหิ  ได้ทำการจัดการหล่อขึ้น  พ.ศ.  ๑๗๒๖  ตรงกับมหาศักราช  ๑๑๐๕  จึงมีข้อถกเถียงถึงว่า ที่สั่งขึ้นมาให้อำมาตย์คลาในผู้ครองเมืองครหิ  ได้ทการหล่อขึ้นเมือง  พ.ศ.  ๑๗๒๖  ตรงกับมหาราช  ๑๑๐๕  จึงมีข้อถกเถียงว่าครหิ   นั้นเป็นการแสดงอำนาจทางเขมรหรือเกาะสุมาตรา  ซึ่งนาจะเป็นครหิ  ที่เกิดขึ้นหลังอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลายลงแล้ว  หรือไปขึ้นอยู่กับเมืองตาพรลิงค์ในพ.ศ.  ๑๗๐๐

ดังนั้นเมืองไชยานั้นคงจะไม่ใช่เมืองครหิและน่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย มากกว่าเมืองปาเล็มบัง
เมืองไชยานั้น  ได้มีการสร้างเจดีย์แบบมหายาน  ให้องค์เจดีย์เป็นรูปสีขระ  แปลว่าแบบภูเขา คือเจดีย์มียอดจำนวนมาก  ตามคติให้มีพระพุทธเจ้าหลานพระองค์  เช่น  พระพุทธเจ้าพุทธะ  พระมัญศรีพุทธะ  พระญาณิพุทธะ  เป็นต้น  ซึ่งตรงกับเรื่องราวที่ว่า  พระเจ้ากรุงศรีวิชัยได้สร้างไอษฎิเคหะ คือ  เรือนอิฐหรือปราสาทอิฐขึ้น    หลัง  สำหรับประดิษฐานพระปฏิมาของ  ปัทมปาณี  วัชรปาณี และมารวิชัย  ในพื้นที่เมืองไชยาแห่งนี้  พบว่านอกจากจะสร้างเจดีย์ที่พระบรมธาตุแห่งนี้แล้วยังมี เจดีย์ที่วัดแก้ว  ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแต่ต้องชำรุด  และเจดีย์ที่วัดหลงเดิมนั้นเหลือแต่ฐานอิฐที่มีลักษณะเดียวกัน  พระบรมธาตุไชยาองค์ปัจจุบันนี้ได้รับการบูรณะใหม่  เดิมนั้นเป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนอุโมงค์ที่บรรจุหีบศิลาใบใหญ่ใส่พระบรมธาตุและสิ่งของต่าง ๆ  เดิมทีพื้นมีรูระบายอากาศเส้นผ่าศูนย์กลาง   ซ.ม.    แห่ง  ต่อมาได้อุดเสีย  ต่อมาแม่น้ำพาเอาดินมาถมบริเวณหมู่บ้านเวียงสูงประมาณ   เมตร  หรือ    ศอกส่วนพระเจดีย์นี้จมลงไปใต้ดินประมาณเมตรครึ่ง  ต้องขุดแต่งกัน  เมืองครหิแห่งนี้หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยหมดอำนาจลงจึงถูกทิ้งล้างมาจนถึงสมัยอยุธยา  พุทธสาสนาจึงได้ฟื้นฟูขึ้น จึงมีการสร้างพระพุทธรูปศิลาทึบขนาดใหญ่จากหินที่เขานางเอ  อยู่หลังสวนโมกข์  มีอยู่ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐  องค์

นั่นหมายถึงศูนย์กลางอำนาจของพวกไศเรนทร  (ราชาแห่งจอมเขา)  อยู่ที่บริเวณเมืองไชยา ซึ่งเหมาะสมที่จะติดต่อกับอินเดียโดยเฉพาะที่เบงคอล  และเป็นเหตุให้พระอวดโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่เป็นฝีมือของช่าง
แบบปาละแท้เดินทางมาประดิษฐ์ฐานที่เมืองไชยยาได้  โดยเฉพาะการติดต่อมหาวิทยาลัยนาลันทา  ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนามหายานในเบงคอล  จนมีความปรากฏในจารึกแผ่นทองแดงพบที่นาลันทา  เมื่อ  พ.ศ.  ๑๓๙๒  ว่า  ด้วยที่ไศเรนทรอุปถัมภ์  มหาวิทยาลัยแห่งนั้นไปจากไชยา  ในบริเวณเมืองไชยามีเขาน้ำร้อนเป็นผู้เขาประจำวงศ์ไศเรนทร  สำหรับประดิษฐานพระเป็นเจ้าตามลัทธิพราหมณ์  แม้จะมีการนับถือพุทธศาสนา  แล้วยังยึดถือเป็นประเพณีการอาบน้ำร้อนที่ออกมาจากบนหุบเขานั้นถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งมีการจัดทำสระน้ำสำหรับอาบพระราชาตามประเพณีของอินเดีย  เรื่องนี้หากรวมไปถึงเขานางแอ  แล้วจะพบถ้ำนั้นมีสระบัวขนาดใหญ่ของสระ  น่าจะมีบริเวณที่สวยงาม  และหากจะทั้งทองประจำวันลงตามสระตามตำนานราชาแห่งซาบากก็ทำได้

เมืองไชยาโบราณนี้เดิมเป็นเมืองไชยยาขนาดใหญ่กว่าเมืองตามพรลิงค์  ซึ่งมีชุมชนเมืองเก่า และสร้างเจดีย์พระบรมธาตุไชยา  เจดีย์ที่วัดแกว  เจดีย์ที่วัดเวียง  เจดีย์วัดหลง  และพระอวโลกิเตศวรอย่างชวาอยู่จำนวนมาก  โดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรขนาดเท่าคนที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี  เส้นทางติดต่อนั้นมีแม่น้ำหลวง (แม้น้ำตาปี)  ไหลผ่าน  เมื่อสำรวจเส้นทางพบว่าไปได้ถึงคีรีรัฐ  ซึ่งมีทางข้ามไปลงตะกั่วป่าได้อย่างสบาย  น่าจะเป็นเส้นทางเดินของชาวอินเดียทางหนึ่ง  สำหรับเมืองตามพรลิงค์นั้นมีพระบรมธาตุองค์เดียวเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาสมัยหลัง  และมีหาดทรายแก้วกับลุ่มแม่น้ำน้อย  ประการสำคัญอ่าวบ้านดอนนั้นเป็นแหล่งที่เรือสินค้าจากจีนใช้เป็นใช้เป็นท่าจอดเรือในสมัยโบราณได้  และรอบอ่าวบ้านดอนนั้นก็เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ  ในจารึก  พ.ศ.  ๑๗๗๓  ระบุว่า  พระเจ้าจันทภาณุยังมีอำนาจอยู่เหนือดินแดนอ่าวบ้านดอน